ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษระหว่างการสอนอ่านโดยใช้กลวิธีสตาร์ท(START)และเทคนิคการสร้าง
แผนภูมิความหมายกับการสอนอ่านแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชื่อผู้วิจัย นางสาวฐิธิมา วิสุทธิกุล
สถานศึกษา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 38 จังหวัดระนอง
ปีที่จัดทำ 2560
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษระหว่างการสอนอ่านโดยใช้กลวิธีสตาร์ท(START)และเทคนิคการสร้างแผนภูมิความหมายกับการสอนอ่านแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (2) เปรียบเทียบเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้กลวิธีสตาร์ท(START)และเทคนิคการสร้างแผนภูมิความหมายกับการสอนอ่านแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 38 จังหวัดระนอง จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องละ 35 คน รวมมีจำนวน 50 คน โดยให้เป็นกลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนอ่านโดยใช้กลวิธีสตาร์ท (START) และเทคนิคการสร้างแผนภูมิความหมาย 1 ห้องเรียน ส่วนห้องที่เหลือเป็นกลุ่มควบคุมเรียนด้วยการสอนอ่านแบบปกติโดยได้มาจากวิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยผู้วิจัยทำการทดลองด้วยตนเองทั้ง 2 กลุ่ม ใช้เวลาสอนกลุ่มละ 17 ชั่วโมง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนภูมิความหมายในการสอนอ่าน 5 ประเภท ที่มีค่าความเหมาะสมระหว่าง 4.60-5.00 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านโดยใช้กลวิธีสตาร์ท (START)และเทคนิคการสร้างแผนภูมิความหมายกับการสอนอ่านแบบปกติ ที่มีคุณภาพระหว่าง 4.60-4.80 แบบทดสอบวัดความเข้าใจในการอ่านที่มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20-0.89 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20-0.53 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.72 แบบวัดเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษที่มีค่า Alpha Coefficient ของ Cronbach เท่ากับ 0.77 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย () และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t –test (independent) วิเคราะห์ความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านโดยใช้กลวิธีสตาร์ท(START)และเทคนิคการสร้างแผนภูมิความหมาย มีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษและเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษแตกต่างจากนักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 โดยกลุ่มทดลองมีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่ากลุ่มควบคุมและมีเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษดีกว่ากลุ่มควบคุม